ธุรกิจภาพยนต์ยังคงทำเงินได้อย่างร้อนแรง หากแต่ไม่ใช่จากยอดขายตั๋วหนังโดยตรง แต่เป็นการขายขนม และน้ำอัดลมหน้าโรงภาพยนตร์ต่างหาก
ปัจจุบันการไปดูหนังแต่ละเรื่อง ผู้ชมหนึ่งแทบจะเสียเงินเฉลี่ยให้กับ “อย่างอื่น” มากกว่าค่าตั๋วหนังไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นขนมขบเคี้ยว, น้ำอัดลมแก้วใหญ่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งแก้วรูปภาพยนตร์สุดฮิตที่กำลังลงโรงฉายอยู่ในขณะนั้น
โรงหนังทุกแห่งในปัจจุบันแทบจะให้ความสำคัญกับการขายของเหล่านี้พอๆ กับการโปรโมตหนังแต่ละเรื่องก็ว่าได้ มีขนมแบบใหม่ๆ มาเสนอให้ลองอยู่เรื่อย และแก้วน้ำอัดลม ของพรีเมี่ยม ที่หลายๆ คนเก็บเป็นของสะสมก็ดูจะยิ่งเว่อวังอลังการขึ้นไปแบบไม่หยุดหย่อน …. และเหตุผลที่โรงหนังเน้นสินค้าพรีเมี่ยม โปรโมตของกินเล่นพวกนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวชนิดเป็น “วาระ” สำคัญ ก็เพราะคือนี่ “รายได้หลัก” ของธุรกิจสายนี้นั่นเอง
อย่างที่เคยมีคนในวงการหนังของสหรัฐฯ เองเคยพูดติดตลกในหมู่คนแวดวงธุรกิจเดียวกันว่า “พวกเราทำธุรกิจขายขนมหวานต่างหาก”
เป็นที่รู้กันดีว่าตามปกติแล้วว่าค่าตั๋วหนังแต่ละเรื่องจะแบ่งให้กับเจ้าของโรง และเจ้าของหนังอย่างละครึ่ง นั่นก็หมายความว่าโรงหนังจะได้รับเงินจากค่าตั๋วแค่ส่วนเดียว แต่จะได้รับเงินจากำไรของของกินแบบเต็มๆ ซึ่งว่ากันว่าคำนวนออกมาแล้ว รายได้จากของกินจะสูงกว่ารายได้จากการขายตั๋วเป็นสัดส่วน 70:30 หรือ 80:20 กันเลยทีเดียว
นั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมโรงภาพยนตร์ จึงพร้อมที่จะลดราคาตั๋วในบางวัน และมอบโปรโมตชั่นหลากหลายให้กับผู้ชมมากมาย ก็เพราะโรงหนังมีจุดประสงค์ในการดึงคนมาดูหนัง (และซื้อของกิน) ให้มากที่สุดนั่นเอง
ฮาเวิร์ด อเดลแมน แห่ง Movieland Cinemas เครือโรงหนังอิสระในสหรัฐฯ ก็ยอมรับตรงๆ ว่าธุรกิจโรงหนังแทบจะกลายเป็นธุรกิจขายขนมแล้ว “หนังก็แค่เอาไว้ดึงคนมาซื้อป๊อปคอร์น กับสินค้าพรีเมี่ยม รวมถึงขนมเท่านั้นแหละครับ เราทำเงินจากตรงนั้น”
ยุคสมัยหนึ่งเราอาจจะนั่งแกะถั่วต้มไปดูหนังไป หรือ เคี้ยวฟั่นอ่อยไปพร้อมๆ กันดูหนังได้อย่างสบายใจ แต่ปัจจุบัน ป๊อปคอร์น หรือ ข้าวโพดขั้วเท่านั้นที่คือขนมกินเล่นอันดับ 1 ในโรงภาพยนตร์
ป๊อปคอร์มเริ่มได้รับความนิยมในฐานะขมกินเล่นระหว่างดูหนังในช่วงยุค 1930s อันเป็นยุคเริ่มต้นยุคทองของวงการหนังสหรัฐฯ ซึ่งจากวันนั้นจนมาถึงปัจจุบัน เจ้าของโรงหนังก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการ “เอาดี” กับการขายขนม เพราะคณะทีค่าตั๋วมีราคาขึ้นมาพอสมควร แต่ค่าป๊อปคอร์นแถมบวกกับ สินค้าพรีเมี่ยมบัคเก็ทที่ใส่ขนม กลับแพงขึ้นอย่าง “บ้าคลั่ง” เลยก็ว่าได้
แน่นอนว่าคนดูจำนวนมาก “เซ็ง” และ “บ่น” เรื่องป๊อปคอร์นราคาแพงมาโดยตลอด แต่หลายคนก็ยัง “อดไม่ไหว” ต้องจ่ายเงินซื้อข้าวโพดคั้วมากินเล่นตอนดูหนังในโรงภาพยนตร์อยู่ดี ทั้งๆ ป๊อปคอร์น ไม่ได้เป็นขนมที่หาได้ยากอะไรเลย แต่ผู้ชมจำนวนไม่น้อยต่างยอมรับว่าป๊อปคอร์นโรงหนังมัน “อร่อยจริงๆ”
ด้วยข้อมูลเหล่านี้ก็คงแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าทำไม “กฎเหล็ก” การ “ห้ามนำของกินจากที่อื่นเข้าไปโรงภาพยนตร์” เป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับธุรกิจโรงหนังมาก เพราะการปล่อยให้ผู้ชมซื้อน้ำ และขนมจากที่อื่นเข้าไปกินกันตามสบายจะกระทบต่อรายได้หลักของหนังโดยตรงนั่นเอง
ส่วนคำแก้ตัวจากฝ่ายโรงหนังนั้นว่ากันว่า จริงๆ แล้วผู้ชมภาพยนตร์ต้อง “ขอบคุณ” ป๊อปคอร์น ของพรีเมี่ยม และแก้วที่ใส่น้ำอัดลม ด้วยซ้ำไป เพราะการทำโรงหนังมีต้นทุนที่สูงมาก ถ้าไม่ขาดป๊อปคอร์นราคากระฉูด (และอัดโฆษณากันยาวเหยียด)แถมบวกของพรีเมี่ยม ถังป็อบคอร์น กับ แก้วน้ำลายหรูอลังการ แบบนี้ เจ้าของโรงในสหรัฐฯ ได้ถามกลับว่า “ขึ้นค่าตัวเอาไหม?”
แม้รูปแบบการโฆษณาจะเปลี่ยนจากเดิมไปมาก จากที่เราเห็นหน้าโฆษณาคุ้นตาในจอทีวี หน้าหนังสือพิมพ์ หรือป้ายโฆษณาที่เห็นคุ้นชินบนทางด่วน สมัยนี้โฆษณาออนไลน์ และโซเชียลมีเดีย เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา รูปแบบการส่งเสริมการขาย ก็มีการปรับเปลี่ยนตามยุคตามสมัย
ของพรีเมี่ยม หรือสินค้าพรีเมี่ยม ของทีระลึก ที่เราใช้แจกลูกค้า อาทิ ตลับนามบัตร , ปากกา , กระบอกใส่ปากกา , เครื่องคิดเลข ที่มีโลโก้บริษัทของเรา เป็นการสื่อสารกับลูกค้า โดยย้ำเตือนลูกค้าให้นึกถึงธุรกิจของเรา
การแจก ของพรีเมี่ยม เล็กๆ น้อยๆ ในงานอีเว้นท์ หรือการออกบูธ เพื่อประชาสัมพันธ์กิจการของบริษัท ดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามา เป็นวิธีการสื่อสารกับลูกค้าแบบง่ายๆ แต่ได้ผล ของแจก อาทิ พัดพลาสติก , พวงกุญแจเล็กๆ , ปากกา , กระดาษทิชชู่ , หรือสินค้าพรีเมี่ยมที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้นมา เพื่อเป็นของทีระลึก ในการมีส่วนร่วม เช่น ตอบปัญหา , การสำรวจความนิยม เป็นต้น
การส่ง ของที่ระลึก ไปให้ลูกค้า เช่น ถ้วยกาแฟที่มีโลโก้ของบริษัท หรือของติดมือในโอกาสที่เข้าพบลูกค้า อาทิ แฟชลไดร์ฟ ล้วนแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อยอดทางธุรกิจ ที่ทำกันได้ง่ายๆ
หรือบริษัทฯ อาจจะตอบแทนพนักงาน ในโอกาสครบรอบปี , ครบรอบวันเกิด เพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างบริษัทกับพนักงาน เช่นการมอบ เก้าอี้พับได้ , อุปกรณ์ไอทีเล็กๆ , ปากกาหรูบรรจุในกล่อง สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างคุณค่าทางใจ
ของพรีเมี่ยม หรือสินค้าพรีเมี่ยม และของทีระลึก ยังสามารถใช้ในโอกาส เปิดตัวบริษัท หรือร้านค้าใหม่ เพื่อให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วม เป็นวิธีการสื่อสารกับลูกค้า ที่ดีกว่าสื่อแบบอื่นๆ เพราะลูกค้าได้ของฟรี และยังทำให้ลูกค้าจดจำธุรกิจของเราได้ง่าย
ฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้บริหาร หรือพนักงานในฝ่ายการตลาด , ทรัพากรบุคคล หรือองค์การต่างๆ ของพรีเมียม และของที่ระลึก ล้วนแต่สร้างคุณค่า และความจดจำ ความนึกคิดถึงองค์กรเสมอ มีแบบสำรวจที่น่าเชื่อถือระบุว่า เกือบ 90 % ของผู้ที่ได้รับผลิตภัณฑ์ส่งเสริมการขาย สามารถจำชื่อของผู้โฆษณาในตัวสินค้านั้นได้
ที่มา : giftandpremium.com